รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เป็นรัฐประหารในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีพลเอก สนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้าคณะ โดยโค่นล้มรักษาการนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนับเป็นการก่อรัฐประหารเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี รัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนต่อมา หลังจากที่การเลือกตั้งเดือนเมษายนถูกตัดสินให้เป็นโมฆะ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินมายาวนานนับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2548 คณะรัฐประหารได้ยกเลิกการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม ยกเลิกรัฐธรรมนูญ สั่งยุบสภา สั่งห้ามการประท้วงและกิจกรรมทางการเมือง ยับยั้งและเซ็นเซอร์สื่อ ประกาศใช้กฎอัยการศึก และจับกุมสมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคน
พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ได้แถลงเมื่อวันที่ 21
กันยายน
ถึงสาเหตุในการยึดอำนาจและให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยภายในหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประกาศว่า
หลังจากการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยแล้ว
คณะปฏิรูปการปกครองจะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
ซึ่งยังไม่มีการอธิบายถึงบทบาทที่มีต่อการเมืองไทยในอนาคต
ภายหลังรัฐประหาร
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้ง
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549
ต่อมาวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึก ใน 41 จังหวัด แต่ยังคงไว้ 35
จังหวัด
รัฐประหารดังกล่าวไม่มีการเสียเลือดเนื้อและไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ
ปฏิกิริยาตอบรับจากนานาชาติมีตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเทศ เช่น
ออสเตรเลีย การแสดงความความเป็นกลาง เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ไปจนถึงการแสดงความผิดหวังอย่างสหรัฐอเมริกา
ซึ่งถือว่าประเทศไทยเป็นพันธมิตรนอกนาโต และกล่าวว่า การก่อรัฐประหารนั้น “ไม่มีเหตุผลที่ยอมรับได้”
1 เหตุการณ์ 1.1 ชนวนเหตุ
1.2 ลำดับเหตุการณ์
1.3 การกะเวลาก่อรัฐประหาร
1.2 ลำดับเหตุการณ์
1.3 การกะเวลาก่อรัฐประหาร
2 ปฏิกิริยาของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคณะรัฐประหาร 2.1
ฝ่ายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
2.2 ฝ่ายคณะรัฐประหาร
2.2 ฝ่ายคณะรัฐประหาร
3 ปฏิกิริยาของประชาชน 3.1 ในประเทศไทย
3.1.1 ฝ่ายสนับสนุน
3.1.2 ฝ่ายคัดค้าน
3.1.3 ความเคลื่อนไหวอื่น ๆ
3.1.2 ฝ่ายคัดค้าน
3.1.3 ความเคลื่อนไหวอื่น ๆ
3.2 ในต่างประเทศ
3.3 ในโลกอินเทอร์เน็ต
3.4 กลุ่มสิทธิมนุษยชน
3.3 ในโลกอินเทอร์เน็ต
3.4 กลุ่มสิทธิมนุษยชน
4 ปฏิกิริยาของนานาชาติ
5 การลิดรอนสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออก 5.1 การควบคุมสื่อ 5.1.1 การควบคุมสื่ออินเทอร์เน็ต
5.1.2 การควบคุมรายการโทรทัศน์
5.1.3 การยุติการกระจายเสียงจากสถานีวิทยุ
5 การลิดรอนสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออก 5.1 การควบคุมสื่อ 5.1.1 การควบคุมสื่ออินเทอร์เน็ต
5.1.2 การควบคุมรายการโทรทัศน์
5.1.3 การยุติการกระจายเสียงจากสถานีวิทยุ
5.2 การห้ามชุมนุมทางการเมือง
5.3 การห้ามเดินทาง
5.3 การห้ามเดินทาง
6 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 6.1 ปฏิกิริยาของตลาดการเงิน
6.2 ระดับความน่าเชื่อถือ
6.2 ระดับความน่าเชื่อถือ
7 ข้อมูลปลีกย่อย
8 พื้นที่กฎอัยการศึก
9 อ้างอิง
10 ดูเพิ่ม
11 แหล่งข้อมูลอื่น
8 พื้นที่กฎอัยการศึก
9 อ้างอิง
10 ดูเพิ่ม
11 แหล่งข้อมูลอื่น
เหตุการณ์
ชนวนเหตุ
พลเอก สนธิ บุญรัตกลิน เปิดเผยว่าได้ใช้เวลาประมาณ 7 เดือนในการเตรียมการก่อรัฐประหาร
ซึ่งหมายความว่าเริ่มวางแผนในราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่มีการเปิดตัวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งเดิมทีแล้ว พลเอก สนธิ
บุญยรัตกลินเคยรับประกันว่าจะไม่มีการยึดอำนาจของฝ่ายทหาร เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549
ในเดือนกรกฎาคม แม่ทัพภาคที่ 3 พลเอก สพรั่ง
กัลยาณมิตร ได้ให้สัมภาษณ์ว่าการเมืองไทยอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน
และความเป็นผู้นำที่อ่อนแอ
เขายังกล่าวอีกว่าประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 20
กรกฎาคม นายทหารกองทัพบกระดับกลางกว่าร้อยนาย
ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนของ พ.ต.ท. ทักษิณ
ถูกบรรจุใหม่โดยกองบัญชาการทหารสูงสุด ทำให้มีข่าวลือว่ากองทัพแบ่งแยกออกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่ต่อต้านนายกรัฐมนตรี
ต่อมา ในเดือนสิงหาคม
มีรายงานเคลื่อนไหวของรถถังใกล้กับกรุงเทพมหานคร
แต่ฝ่ายทหารกล่าวว่าเป็นการฝึกซ้อมตามกำหนดการ เมื่อต้นเดือนกันยายน
ตำรวจไทยได้จับกุมนายทหารกองทัพบกจำนวน 5 นาย
ซึ่งมีตำแหน่งในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
หลังจากที่สามารถตรวจพบว่าหนึ่งในคณะนายทหารมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ในรถ
ซึ่งมีเป้าหมายมุ่งหน้าไปยังที่พักของนายกรัฐมนตรีตามข้อกล่าวหา
ซึ่งสามในห้าของผู้ที่ถูกจับกุถูกปล่อยตัวหลังจากการก่อรัฐประหาร
พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 สองเดือนหลังจากรัฐประหาร
คมช. ได้ออก “สมุดปกขาว” ชี้แจงสาเหตุของการก่อรัฐประหารยึดอำนาจโดยมีสาระสำคัญ
ได้แก่ การทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ
การละเมิดจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำประเทศ
การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพและการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ
อย่างไรก็ตาม
บทวิเคราะห์จากหลายฝ่ายชี้ให้เห็นว่ายังมีสาเหตุอีกบางประการนอกเหนือจากเหตุผลของ
คมช. ที่นำมาสู่รัฐประหาร เช่น
ความขัดแย้งทางอำนาจที่เห็นได้จากการโยกย้ายนายทหารประจำปี รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่าง
พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานองคมนตรี
ความเป็นมาธงชาติไทย
http://youtu.be/KmPZ61uEsXU